Muse

Slavery to the music: Muse ในที่สุดก็จะมาแล้ว

 

 

ในที่สุด วงดนตรีที่เรารอคอยให้มาเปิดการแสดงสดในเมืองไทยก็จะมาแล้วนะครับ หลังจากพลาดมาครั้งหนึ่งแล้ว แต่รอบนี้คงไม่มีอะไรพลาดแล้ว ยกเว้นจะเกิดเหตุเกินคาดอีก พวกเขาก็คือ Muse ครับ ใครยังไม่รู้จักก็ทำความรู้จักกันเลย
 


Muse  เริ่มต้นขึ้นในช่วงที่พวกเขาเป็นนักศึกษาอยู่ Matt Bellamy (แมตต์ ร้องนำ กีตาร์) ถูกเลือกเข้าร่วมวงของ Dominic Howard (โดมินิก กลอง) และพวกเขาก็วานให้ Chris Wolstenholme (คริส) ให้หันมาเล่นเบสให้แทน จนกลายเป็นวง Muse พวกเขาเข้าประกวด Battle of Bands และชนะเลิศทั้งๆ ที่ทุบเครื่องดนตรีประชด พวกเขาจึงมุ่งมั่นกับดนตรีและทิ้งทั้งมหาวิทยาลัยและบ้านเกิดของพวกเขา

 



พวกเขาเริ่มออกเล่นไปในหลายๆ ที่ และถูกแมวมองดึงตัวเขาสังกัด และ EP แผ่นที่สอง Muscle Museum ของเขาก็ได้ไปเตะหูของนักวิจารณ์ดังๆ ทำให้พวกเขาได้ฤกษ์ออกผลงานชุดแรก Showbiz ในปี 1999

 


Showbiz คือผลงานที่คลอดตั้งแต่พวกเขายังอายุน้อยอยู่มาก และแม้มันจะได้รับความนิยมเพราะเพลงเด่นๆ อย่าง Muscle Museum, Uno และ Unintended ที่เป็นเพลงที่ติดหูเอาเรื่อง แต่นักวิจารณ์หลายรายสบประมาทว่าพวกเขาแค่เลียนแบบ Radiohead



แม้จะเริ่มต้นได้ไม่งามนัก พวกเขาก็กลับมาสู้ต่อด้วยผลงานชุดที่สอง Origin of Symmetry ในปี 2001 ที่เป็นงานที่เติบโตขึ้นกว่าเดิมอย่างมาก พวกเขาเพิ่มความหนักหน่วงของเสียงกีตาร์ ขยายชุดกลอง และเพิ่มเครื่องดนตรีอื่นเข้าไป ทำให้ซาวด์ของพวกเขาแน่นขึ้นมาก และเป็นจุดเริ่มต้นของซาวด์ในแบบของ Muse นั่นเอง เพลงอย่าง Bliss นั้นยิ่งใหญ่พอที่จะเติมเต็มสนามกีฬาได้ทันที ในขณะที่เพลง Feeling Good ก็มีเสียงเปียโนประกอบที่เด่นเหลือเกิน แต่เพลงที่เด่นที่สุดคงเป็นเพลง Plug In Baby เพลงหนักสะใจ ที่สาธยายความรักที่มีต่อกีตาร์ประหนึ่งจะร่วมรักกับมันได้เลย Muse สามารถสร้างความเป็นตัวของตัวเองได้อย่างชัดเจน และเอาชนะใจทั้งแฟนเพลงและนักวิจารณ์ได้



ผลงานชิ้นที่สามในปี 2003 ชื่อ Absolution เปิดตัวที่อันดับหนึ่งและกลายเป็นงานที่ได้รับคำชมจากทั่วสารทิศ ซึ่งก็ไม่แปลกอะไร เพราะมันคืองานที่ได้รับการกลั่นกรองมาอย่างดี ซาวด์เฉพาะทางของ Muse นั้นยิ่งอลังการยิ่งกว่าเดิม แต่ละซิงเกิลที่ถูกวางขายก็ทรงพลังเหลือเกิน ตั้งแต่ Time Is Running Out ที่มีท่อนฮุกเหมือนเตรียมไว้ให้ร้องตามในคอนเสิร์ตแท้ๆ หรือเพลง Stockholm Syndrome ที่เต็มไปด้วยรายละเอียด ความหนักหน่วงและความอลังการ Hysteria ก็มีท่อนเบสที่เด่นเหลือเกิน เช่นเดี่ยวกับการค่อยๆ ไล่เรียงความหนักหน่วงในเพลง Butterflies and Hurricanes ที่ทำได้อย่างไร้ที่ติ Absolution คืออัลบั้มที่ส่งให้ Muse กลายเป็น Superstar อย่างแท้จริง และกลายเป็นวงระดับเฮดไลน์เทศกาลดนตรีเลยทีเดียว



ปี 2006 พวกเขาออกงาน Black Holes And Revelations อลังการไม่แพ้งานชุดเดิม มันเต็มไปด้วยเพลงทรงพลังอย่าง Super Massive Black Hole และ Knight of Cydonia ที่ออกแบบมาเพื่อเติมเต็มเวทีระดับมหึมาอีกแล้ว ส่วน Starlight ก็เป็นเพลงที่เตรียมไว้เพื่อให้คนร้องและซึ้งตามจริงๆ และยังตามมาด้วยเพลง Invincible ที่ช่างยอดเยี่ยมเหลือเกิน
 


พวกเขาออกบันทึกการแสดงสด HAARP ที่สนามเวมบลีย์ในปี 2008 และมันคืองานที่ตอกย้ำความยอดเยี่ยมในการแสดงสดของพวกเขาเป็นอย่างดีจริงๆ เพราะมันคือการแสดงสดที่เต็มไปด้วยพลัง และเทคนิคการถ่ายทำก็ยอดเยี่ยมจนบอกได้เต็มปากว่าคุ้มค่ากับการหามาดูครับ
 


หลังจากคอนเสิร์ต พวกเขาก็กลับมากับงานชุดใหม่ The Resistance ในปี 2009 ซึ่งเป็นงานที่ยิ่งอลังการยิ่งกว่าเดิม มันคืองานที่แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาเป็นวงเพื่อการแสดงสดแค่ไหน แต่ละเพลงเน้นเพื่อให้แฟนร้องตามจริงๆ เพลงอย่าง United States of Eurasia ก็ยอดเยี่ยม ส่วน Uprising ก็ช่างยิ่งใหญ่ ยังมี Exogenesis: Symphony ที่ถูกแบ่งออกเป็น 3 ภาคด้วย มันคืองานที่รับเอาอิทธิพลของ Queen มาเต็มๆ และเป็นอัลบั้มที่ยอดเยี่ยม แต่น่าเสียดายที่เน้นเทคนิคมากเกินไป
 


หลังจากชิมลางกับ Survival เพลงประกอบโอลิมปิกไปแล้ว พวกเขาก็บอกกับแฟนๆ ว่า The 2nd Law งานชุดใหม่ของพวกเขาจะได้รับอิทธิพลจากแนวเพลง Dubstep แต่เพลงแรก Supremacy ก็เป็นบัลลาดที่ค่อยๆ ลากจนหนักขึ้นเรื่อยๆ แบบที่พวกเขาถนัด จนมาเพลง Madness ที่เป็นซิงเกิลต่อจาก Survival ค่อยมีเสียงแบบอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มมากขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้หนักอะไร จนสำหรับผมมองว่าราบเรียบไปนิดหนึ่ง โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับซิงเกิลที่ 5 เพลง Panic Station ที่เอาบีทเพลงดิสโก้มาใส่ในงานเพลงจนแตกต่างไปจากเพลงเก่าๆ ของพวกเขา จนมา Follow Me นั่นล่ะครับ กลิ่นของ Dubstep/Brostep โชยมาเชียวครับ บีทกระชากตู้มๆ แต่ก็ไม่ได้กระจายไปทั้งอัลบั้มนะครับ หลายเพลงยังมาในแนวถนัดของพวกเขาอยู่ เพียงแค่มีเสียงสังเคราะห์เพิ่มเข้ามามากขึ้น ฉีกตัวเองไปจากแนวเพลงเดิมๆ กลายเป็นก้าวย่างที่น่าสนใจของพวกเขานะครับ
 


และในปีนี้ พวกเขาก็กลับมากับอัลบั้มใหม่ Drones ที่ได้โปรดิวเซอร์ Mutt ที่เน้นทำงานสายสเตเดียมร็อกมาช่วยดูแล ก็คงเหมาะกับพวกเขานั่นล่ะครับ ซึ่ง Mutt ก็เร่งเสียงกีตาร์โซโล เร่งเสียงทุกอย่างให้มันโครมครามที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผสมกับสไตล์ของ Pink Floyd เข้าไป และเนื้อเพลงวิพากษ์การเมืองเต็มๆ (ดูปกก็ได้) ทำให้งานชุดนี้ก็เป็นงานที่หนักและดังที่สุดอีกชุดหนึ่งของพวกเขาเลยทีเดียว แฟนเพลง Muse ที่อยากจะฟังเสียงกีตาร์หนักๆ คงสะใจครับ ตั้งแต่ซิงเกิลแรก Dead Inside ที่จังหวะโครมครามเอาเรื่อง ขณะที่ซิงเกิลที่สอง Mercy ฟังไปแล้วก็นึกถึงยุคอัลบั้มที่สาม แต่ถ้าใครคิดว่าหนักไม่พอ ก็ต้อง Reapers และ Psycho ที่ถล่มกันหนักสุดๆ ครับ หาเครื่องเสียงดีๆ มาลองฟังกันดูดีกว่า ส่วน The Globalist นี่ก็ยาวไป 10 นาที คงกะจะทำให้เหมือน Pink Floyd ล่ะครับ ส่วนตัวผม ชอบ Revolt ที่มีกลิ่นของร็อกรุ่นเก่าไม่น้อย แฟนเพลงของ Muse ก็คงฟินกันอัลบั้มนี้ไม่น้อยล่ะครับ

 



และหลังจากที่รอคอยมานาน ประจวบเหมาะกับอัลบั้มใหม่ที่เพิ่งออกมา ทำให้พวกเราจะได้พบกับพวกเขาแล้ว ใน MUSE Live in Bangkok 2015 ที่วันพุธที่ 23 กันยายนนี้ ที่อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี โดยบัตรยืนราคา 3,000 และ 4,500 บาท บัตรนั่งราคา 2,000/ 3,000 และ 5,000 บาท เปิดขายบัตรตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม เวลา 10.00 น.เป็นต้นไป ที่ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ทุกสาขา และผ่านทางเว็บไซต์ www.thaiticketmajor.com หรือโทร. 0-2262-3838 ใครที่รอมานานก็ไม่ควรพลาดกันล่ะครับ


 

ขอบคุณ หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ -- จันทร์ที่ 29 มิถุนายน 2558 00:00:23 น.
ณัฐพงศ์ ไชยวานิชยผล

ที่มา : http://www.ryt9.com/s/tpd/2192349