“ดิสนีย์ ไลฟ์! ทรี คลาสสิค แฟรี่ เทลส์”
… เปิดตัวครั้งแรก!! ในเอเชีย...
บีอีซี-เทโร เตรียมดึงโชว์ไทย
ปิดเทอมนี้ เด็กๆ เตรียมสัมผัสกับ 3 เรื่องราวสุดคลาสสิคของวอลท์ ดิสนีย์ สโนไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ด,ซินเดอเรลล่า และโฉมงามกับเจ้าชายอสูรที่จะถูกนำมาเล่า
ใหม่อย่างตื่นเต้น สนุกสนาน กับการแสดง “ดิสนีย์ ไลฟ์! ทรี คลาสสิค แฟรี่ เทลส์” ซึ่งเปิดตัวครั้งแรก!! ในเอเชีย
หลายคนชื่นชอบและเป็นแฟนการ์ตูนของวอลท์ดิสนีย์มายาวนานเทพนิยายหลายเรื่องนอกจากจะถูกถ่ายทอดผ่านแผ่นฟิล์มครั้งแล้วครั้งเล่าสร้างความประทับใจมานับ
ครั้งไม่ถ้วนแล้ว ยังถูกนำมาสร้างเป็นการแสดงสุดพิเศษ ที่สร้างความสุข สนุกสนาน ให้กับผู้ชมไปทั่วโลก ล่าสุด!! ดิสนีย์ได้หยิบเรื่องราวของเทพนิยายสุดคลาสสิค
อย่าง สโนไวท์กับ
คนแคระทั้งเจ็ด, ซินเดอเรลล่า และโฉมงามกับเจ้าชายอสูร มาเล่าใหม่โดยเรียงร้อยเป็นเรื่องราวการแสดง “ดิสนีย์ ไลฟ์! ทรี คลาสสิค แฟรี่ เทลส์” ซึ่งจะเปิด
การแสดงในบ้านเรา
ระหว่างวันที่ 28 ตุลาคม – 2 พฤศจิกายนนี้ ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์
การแสดง “ดิสนีย์ ไลฟ์! ทรี คลาสสิค แฟรี่ เทลส์” เป็นโชว์ใหม่แกะกล่องของดิสนีย์ ที่เปิดการแสดงในเอเชียเป็นที่แรกในโลก ณ เมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง โดยงานนี้ ทุกคนจะได้สนุกสนาน ผจญภัยไปกับ มิกกี้-มินนี่, กู๊ฟฟี่ และโดนัลด์ ดั๊ก ร่วมต่อสู้กับเหล่าวายร้ายทั้งยัยแม่มดที่ต้องการฆ่าสโนไวท์ แม่เลี้ยงและลูกสาวใจร้ายที่คอยกลั่นแกล้งซินเดอเรลล่าอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ทุกคนยังได้ซาบซึ้งกับความรักที่เป็นอมตะของ “สโนไวท์” กับการเดินทางตามหารักแท้ “ซินเดอเรลล่า”ที่ได้พบรักกับเจ้าชายในฝันของเธอเป็นครั้งแรกในงานเต้นรำของค่ำคืนอันแสนวิเศษ “เบลล์” สาวงาม ที่ค้นพบความสุขกับเจ้าชายอสูรในปราสาทต้องมนต์ และเรื่องราวแห่งมิตรภาพของเพื่อนพ้องที่คอยให้ความช่วยเหลือกันและกัน
โดยการแสดงครั้งนี้ถือเป็นประสบการณ์ที่ทีมนักแสดงได้ใกล้ชิดกับผู้ชมมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา และผู้ชมสามารถมีส่วนร่วมไปกับโชว์ได้อย่างเต็มที่ที่สุด ซึ่งหลังการแสดงจบลง ทุกคนจะได้รับความประทับใจจากความตระการตาของการแสดง ความสวยงามอลังการของเครื่องแต่งกาย บทเพลงอันเป็นอมตะและคุ้นเคยอย่างเพลง “Bibbidi Bibbidi Boo” เพลง “Heigh Ho” และเพลง “Be Our Guest” และมนต์ขลังของเหล่าเจ้าหญิง-เจ้าชาย กลับบ้านไปด้วยอย่างแน่นอน
ร่วมสัมผัสกับประสบการณ์สุดหรรษาได้ในการแสดง “ดิสนีย์ ไลฟ์! ทรี คลาสสิค แฟรี่ เทลล์” ระหว่างวันที่ 28 ตุลาคม – 2 พฤศจิกายนนี้ ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ บัตรราคา 900 / 1,200 / 1,500 และ 2,000 บาทสำรองบัตรได้ที่ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ทุกสาขา โทร.0-2262-3456 ไปรษณีย์ไทย 52 สาขา ทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล จุดจำหน่ายตั๋วเมเจอร์และอีจีวี ติดตามส่วนลดและสิทธิประโยชน์มากมายได้ที่ www.thaiticketmajor.com
รายละเอียดการแสดง
ผองเพื่อน มิกกี้ – มินนี่, กู๊ฟฟี่ และโดนัลด์ ดั๊ก จะพาผู้ชมทุกท่าน
ไปสัมผัสกับเรื่องราวอันน่าประทับใจของ 3 เจ้าหญิงจากเทพนิยายสุดคลาสสิค
ใน “ดิสนีย์ ไลฟ์! ทรี คลาสสิค แฟรี่ เทลส์”
ทันทีที่ม่านบนเวทีการแสดงเปิดขึ้น ผู้ชมจะได้พบกับเรื่องราวอันน่าประทับใจจากเทพนิยายสุดคลาสสิคของวอลท์ ดิสนีย์ อย่าง สโนว์ ไวท์ กับคนแคระทั้งเจ็ด, ซินเดอเรลล่า และโฉมงามกับเจ้าชายอสูร รวมถึง มิกกี้ – มินนี่, กู๊ฟฟี่, โดนัลด์ ดั๊ก และเหล่าเพื่อนพ้องนักแสดงดิสนีย์อีกกว่า 25 ชีวิต ที่จะปรากฏตัวบนเวที และนำท่านผู้ชมทุกท่านไปสู่ประสบการณ์ที่ยากจะลืมลง ไม่ว่าจะเป็นฉากที่สุดแสนจะอลังการและเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามแต่ละเรื่องราว การออกแบบท่าเต้นที่ตรึงตราตรึงใจ เทคนิคแสงสีเสียงที่ทันสมัย และเครื่องแต่งกายที่สุดแสนตระการตา ด้วยผลงานการสร้างสรรค์ของเฟลด์ เอนเตอร์เทนเม้นท์...
เคนเน็ธ เฟลด์ ผู้บริหารของเฟลด์ เอนเตอร์เทนเม้นท์ และ โปรดิวเซอร์เจ้าของรางวัลโทนี่ อวอร์ด กล่าวว่า “การแสดง ดิสนีย์ ไลฟ์! ทรี คลาสสิค แฟรี่ เทลส์ ครั้งนี้ ถือเป็นประสบการณ์ที่ทีมนักแสดงได้ใกล้ชิดกับผู้ชมมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา ไม่ว่าผู้ชมจะเคยรู้เรื่องราวเทพนิยายดิสนีย์เหล่านี้มาก่อนหรือไม่ก็ตาม แต่หลังจากการแสดงจบลง ทุกคนจะต้องได้เก็บเอาความประทับใจอันสุดซึ้งจากความตระการตาของการแสดง และมนต์ขลังของเหล่าเจ้าหญิงกลับบ้านไปด้วยอย่างแน่นอน”
การแสดง ดิสนีย์ ไลฟ์! ทรี คลาสสิค แฟรี่ เทลส์ เริ่มต้นขึ้นเมื่อ มิกกี้-มินนี่, โดนัลด์ ดั๊ก และกู๊ฟฟี่ ออกผจญภัยไปกับการเดินทางที่ไม่คาดคิด เมื่อพวกเขาได้พบกับหนังสือนิทานมหัศจรรย์ที่ซ่อนอยู่ในห้องใต้หลังคาที่บ้านของมิกกี้ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ผองเพื่อนทั้ง 4 จึงเปิดนิทานเล่มนั้นอ่าน จากนั้นพวกเขาก็ได้พบกับเจ้าหญิง “สโนว์ ไวท์” กับการเดินทางตามหารักแท้ของเธอ “ซินเดอเรลล่า” ที่กำลังเตรียมพร้อมเพื่อค่ำคืนอันแสนวิเศษในงานเต้นรำ และ “เบลล์” จากเรื่อง โฉมงามกับเจ้าชายอสูร กับการค้นพบความสุขของเธอในปราสาทต้องมนตร์ ซึ่งตลอดการแสดง ผู้ชมจะได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการผจญภัยของเหล่าตัวละครดิสนีย์ ร่วมปรบมือ และร้องเพลงที่คุ้นเคยไปด้วย เช่น เพลง “Bibbidi Bobbidi Boo” เพลง “Heigh Ho” และเพลง “Be Our Guest”
อลาน่า เฟลด์ โปรดิวเซอร์ของการแสดง กล่าวว่า “ท่านผู้ชมจะได้ใกล้ชิดกับเหล่าตัวละครดิสนีย์ และมีส่วนร่วมไปกับการแสดงได้อย่างเต็มที่ที่สุดเท่าที่พวกเราเคยจัดการแสดงมา เพราะพวกเราต้องการสร้างสรรค์การแสดงที่ให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากทุกๆ ครั้งและเป็นการแสดงที่สร้างรอยยิ้ม และความประทับใจไม่รู้ลืมให้กับผู้ชมทุกท่าน ตั้งแต่ลูกเล็กเด็กแดง ไปจนถึงคุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย”
การแสดงครั้งนี้ ได้ระดมเอาผู้มีฝืมือในวงการ การจัดการแสดงมาร่วมงานมากมาย พวกเขาต้องช่วยกันแก้โจทย์หินในการสรรสร้างโชว์ ที่จะต้องสามารถดึงดูดผู้ชมได้ทั่วโลก และต้องทำให้ผู้ชมที่ไม่คุ้นเคยกับเทพนิยายเหล่านี้ได้เข้าใจในเนื้อเรื่องที่นำเสนอ เชอร์ริลิน เดรเปอร์ ผู้กำกับถึงกับออกปากว่า ผลงานครั้งนี้ “น่าตื่นตาตื่นใจมาก”
เชอร์ริลิน เดรเปอร์ ผู้กำกับการแสดง อธิบายว่า “เรื่องราวของเทพนิยายเหล่านี้ช่วยนำทางให้พวกเราเพราะแก่นของเนื้อเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นความกล้าหาญของเหล่าเจ้าหญิง หรือความเชื่อมั่นในรักแท้ ล้วนแต่เป็นหัวข้อที่ไม่ว่าใครก็สามารถเข้าถึงได้” เธอกล่าวต่อว่า“พวกเราต้องการนำเรื่องเก่ามาเล่าใหม่ โดยเพิ่มสีสันและความน่าสนใจให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในขณะเดียวกันก็ต้องทำโชว์ให้ผู้ชมสามารถติดตามเนื้อเรื่องได้โดยไม่ติดขัด ท่านผู้ชมจะสามารถสัมผัสได้ถึงความใส่ใจที่ทีมงานทุกคนทุ่มเทให้กับการแสดงสุดอลังการครั้งนี้ ผ่านการเล่าเรื่องราวเทพนิยายทั้ง 3 เรื่อง”
ผู้ชมสามารถเห็นถึง ความเอาใจใส่ในรายละเอียดผ่านการออกแบบฉากอันโดดเด่นของ นักออกแบบฉาก สแตนลี่ย์ เมเยอร์ การแสดงเริ่มต้นด้วยฉากห้องใต้หลังคาที่บ้านมิกกี้ จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นฉากในป่าต้องมนต์ ที่ซึ่งท่านผู้ชมจะได้พบกับ สโนว์ ไวท์ ในขณะที่เธอกำลังขอพรที่บ่อน้ำ และยังได้พบกับคนแคระทั้งเจ็ดในขณะที่พวกเขากำลังเดินลัดเลาะป่าเพื่อไปทำงาน จากนั้น ฉากก็จะเปลี่ยนเป็นปราสาทอันแสนสวยที่ซึ่งซินเดอเรลล่าจะได้พบกับเจ้าชายในฝันของเธอเป็นครั้งแรก ท้ายที่สุด ฉากก็จะถูกเปลี่ยนเป็นเมืองเล็กๆในฝรั่งเศสที่ซึ่งเรื่องราวต่างๆ ในนิยายเรื่อง โฉมงามกับเจ้าชายอสูร จะเกิดขึ้น
เมเยอร์กล่าวว่า “ผมต้องการให้ภาพทิวทัศน์ต่างๆ ออกมาสมจริงที่สุด แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องสามารถเปลี่ยนแปลงเป็นฉากในนิยายต่างๆ ได้เรื่อยๆ และต้องมีความทนทานเวลาเดินทางด้วย นอกจากนั้นแล้วเมื่อนำฉากเหล่านี้ไปประกอบกับเทคนิคแสงที่แตกต่างกัน ท่านผู้ชมจะสามารถรับรู้ได้ถึงฉากที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ด้วยเช่นกัน”
การจัดแสงถือเป็นตัวชูโรงในการแสดงครั้งนี้ นักออกแบบแสง นอร์ม ชวอร์บ กล่าวว่า “ผมต้องการออกแบบแสง ที่เมื่อฉายไปยังพื้นผิวที่แตกต่างกันแล้วให้อารมณ์และมิติที่แตกต่างด้วย ในช่วงระหว่างงานเต้นรำของซินเดอเรลล่า เราออกแบบแสงที่ช่วยทำให้ฉากดูอลังการและน่าหลงใหล ในขณะเดียวกัน แสงก็จะแสดงถึงอำนาจมืดอันน่ากลัวของแม่มดใจร้ายในเรื่อง สโนว์ ไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ด”
นอกจากเทคนิคแสงที่ใช้ในโชว์ครั้งนี้จะช่วยเสริมความอลังการของฉากและเครื่องแต่งกายแล้วยังนำพาการแสดงครั้งนี้ให้ก้าวกระโดดไปสู่การใช้นวัตกรรมล้ำยุค โดยบรรดานักแสดงแต่ละคนจะมีเซ็นเซอร์พิเศษติดไว้กับเสื้อผ้าของพวกเขา โดยจะมีแสงตามพวกเขาไป ไม่ว่าพวกเขาจะขยับตัวไปทางไหนบนเวที ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการแสดงครั้งนี้ หรือครั้งไหนๆ การจัดแสงถือเป็นปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อตำแหน่งของนักแสดงบนเวที
เกร็ก บาร์นส นักออกแบบเครื่องแต่งกาย เจ้าของรางวัลโทนี่ อวอร์ด สร้างสรรค์เครื่องแต่งกายสุดแสนอลังการ ด้วยเทคนิคอันเหนือชั้น ทำให้เสื้อผ้าที่นักแสดงสวมใส่เปล่งประกาย และมีชีวิตชีวาภายใต้แสงไฟบนเวที เจ้าตัวยอมรับว่า เทพนิยายเหล่านี้เป็นแรงบันดาลใจไม่รู้จบให้กับการออกแบบเครื่องแต่งกายของเขา
บาร์นส กล่าวว่า “สิ่งที่ทำให้การแสดงครั้งนี้น่าติดตามก็คือ การนำเสนอเรื่องราวที่หลากหลายในการแสดงเพียงการแสดงเดียว ในหนึ่งองก์ ผู้ชมจะได้พบกับความตื่นตาตื่นใจจากทั้งเครื่องแต่งกายของเหล่านักแสดง ตั้งแต่ชาวบ้านธรรมดาใน โฉมงามกับเจ้าชายอสูร ไปจนถึงเหล่าผู้ดีที่มาร่วมงานเต้นรำใน ซินเดอเรลล่า”
เพื่อให้ได้มาซึ่งอารมณ์ที่หลากหลาย และความรู้สึกที่แตกต่าง โรเบิร์ต แม็คเคย์ สุดยอดฝีมือด้านการออกแบบท่าเต้น และ เท็ด ริกเก็ตต์ มิวสิค ไดเร็คเตอร์ ต้องร่วมมือร่วมใจกันสร้างสรรค์ผลงานในการแสดงครั้งนี้ ริกเก็ตต์ กล่าวว่า “ในบรรดาบทเพลงต่างๆ ในการแสดงครั้งนี้ บางเพลงก็จะให้ความรู้สึกที่สง่างามและนุ่มนวล ส่วนบางเพลงก็มีจังหวะคึกคัก ซึ่งช่วยเสริมให้เกิดการเคลื่อนไหวที่ทรงพลัง และการจัดรูปแบบแถวที่งดงามได้อีกด้วย”
แม็คเคย์ กล่าวว่า “เพียงการแสดงเดียว ผู้ชมจะได้สัมผัสถึงความหรูหรา และกลิ่นไอของความรักในระหว่างที่เบลล์ และเจ้าชายอสูรของเธอเต้นรำไปกับบทเพลง “Beauty and the Beast” ไปจนถึงความแข็งกร้าว ในฉากที่แก็สตันร้อง และเต้นเพื่อโอ้อวดถึงความเป็นชายชาตรีของเขาในฉากร้านเหล้า”
สำหรับมิกกี้ และผองเพื่อน เรื่องราวในหนังสือนิทานต้องมนต์ คือที่มาของการผจญภัยอันแสนมหัศจรรย์ ในส่วนของผู้ชมทุกคนจะได้แบ่งปันเสียงหัวเราะ ร่วมร้องเพลง และเต้นรำไปพร้อมๆ กับสมาชิกในครอบครัว เมื่อมาชมการแสดง ดิสนีย์ ไลฟ์! ทรี คลาสสิค แฟรี่ เทลส์
เคนเน็ธ เฟลด์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “ทีมงานทุกคนตั้งใจสร้างสรรค์การแสดงนี้ขึ้นมาเพื่อทุกคนในครอบครัวเพื่อเด็กๆ และเพื่อทุกๆ คน ทั้งคนที่คุ้นเคย และไม่คุ้นเคยกับเทพนิยายเหล่านี้ และที่สำคัญ เพื่อทุกๆ คนที่เชื่อว่า ความฝันเป็นจริงได้ พวกเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า คนที่มาชมการแสดงของพวกเรา จะกลับไปพร้อมกับความรู้สึกดีๆ และนำเอาความทรงจำอันแสนสุขที่ได้จากการแสดงกลับบ้านไปด้วย”
เรื่องย่อเทพนิยายดิสนีย์
…“สโนว์ ไวท์”…
เรื่องราวที่งดงามที่สุด |
สโนว์ไวท์วาดฝันถึงวันที่เจ้าชายของเธอจะมาเมื่อ
ต้องหนีจากแม่มดใจร้าย สโน ไวท์ ก็ได้อาศัยอยู่กับคน
แคระผู้ใจดีทั้งเจ็ด แต่แม่มดพบ สโนว์ ไวท์ เข้า และ
หลอกล่อให้เธอ กินแอปเปิ้ลอาบยาพิษ จากนั้น เธอก็หลับ
ไป ..... มีเพียงจุมพิต ..... จากรักแท้ที่จริงใจเท่านั้นที่จะ
สามารถปลุกเธอได้อีกครั้งหนึ่ง |
|
ถึงแม้จะโดนแม่เลี้ยงใจร้ายและลูกสาวซึ่งรังแกเธอ
อยู่ตลอดเวลา แต่ซินเดอเรลล่าก็ยังไม่เคยหยุดเชื่อใน
ความฝันของตัวเอง แต่แล้ววันหนึ่ง ด้วยความช่วยเหลือ
ของเพื่อน ๆ และนางฟ้าแม่ทูนหัวของเธอซินเดอเรลล่า
จึงได้เข้าร่วมงานเลี้ยงเต้นรำและได้เจอกับเจ้าชายสุด
หล่อและค้นพบว่าความฝันนั้นกลายเป็นจริงขึ้นมาได้ |
… “ซินเดอเรลล่า” …
จงเชื่อในความฝันของคุณ |
|
…“โฉมงามกับเจ้าชายอสูร”… |
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...
นางแม่มดตนหนึ่งสาปให้เจ้าชายผู้เห็นแก่ตัวกลายเป็นอสูร
คำสาปนี้จะเสื่อมลง เมื่อเขาให้ความรักและได้รับความรักกลับมา
เมื่อเบลล์ สาวงามผู้กล้าหาญ
เข้ามาอยู่ในปราสาทต้องมนต์แห่งนี้
เจ้าชายก็หวังว่า เธอจะช่วยเขาทำลายคำสาปนี้ได้
ด้วยความช่วยเหลือจากบรรดาผู้รับใช้ ที่ถูกสาปให้กลายเป็นสิ่งของในปราสาท
เบลล์เริ่มฟังเสียงหัวใจของเธอเอง
และความรักของเธอก็ช่วยปลดปล่อยเจ้าชายอสูร ให้กลายเป็นอิสระได้ในที่สุด |
|
|