About Green Day
ก่อนที่ Green Day จะมาเป็น Green Day ได้ในทุกวันนี้ใครจะรู้ว่าพวกเขาทั้ง 3 คนได้ผ่านอะไรมามากต่อมาก ทั้งปัญหาครอบครัว คำวิจารณ์จากเหล่าพวกพ้อง แฟนเพลง เหล่านักวิจารณ์ดนตรี แต่พวกเขาก็ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคและได้ฟันฝ่าปัญหาทั้งหลายจนมายืนหยัดในจุดนี้ได้ เรื่องทั้งหมดมันเริ่มขึ้นเมื่อ Billie Joe และ Mike Dirnt ได้ตั้งวง "Sweet Children" ขึ้นเมื่อขณะได้อายุเพียง 14 ปี พวกเขาทั้งสองเป็นเพื่อนกันในสมัยเด็กและเรียนโรงเรียนเดียวกันมา ทั้งสองแชร์รสนิยมดนตรีที่คล้ายกันและด้วยนิสัยที่ใกล้เคียงกันอีกจึงทำให้ Mike และ Billie เป็นเพื่อนสนิทกันได้ในเวลาอันรวดเร็ว พวกเขาทั้ง 2 ในวัยเด็กไม่เหมือนใครคนอื่น มีเพื่อนไม่มากนัก ด้วยนิสัยที่เงียบและเก็บตัว พวกเขาจึงใช้เวลาส่วนมากไปกับดนตรีและการแต่งเพลง
ทั้ง Mike และ Billie หลงไหลในเสียงเพลง Heavy Metal และดนตรี Punk จนกระทั่งวันหนึ่งเพื่อนของเขาคนอื่นแนะนำให้ Sweet Children รู้จักกับคลับเล็กๆแห่งหนึ่งชื่อว่า 924 Gilman Street Club ซึ่งเป็นคลับที่วงพังค์และเหล่าพังค์ทั้งหลายไปรวมตัว และเล่นดนตรี แต่การเล่นดนตรีในที่นี้เป็นการเล่นเพื่ออุดมการณ์ที่แท้จริงของพังค์
ทุกอย่างไม่เกี่ยวข้องกับการหาเงินเข้ากระเป๋าแต่อย่างใด วง Sweet Children จึงไปเล่นที่นั่นเป็นครั้งแรก และครั้งแรกที่พวกเขาปรากฎตัวมีเพียงคนดูไม่ถึง 10 คนเท่านั้น
แต่วง Sweet Children ก็เล่นอย่างเต็มที่และสุดความสามารถโดยไม่สนใจว่าพวกเขาจะมีคนดูกี่คนก็ตาม หลังจากนั้นเป็นต้นมา Sweet Children ก็เริ่มมีชื่อเสียงขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดก็เปลี่ยนชื่อวงเป็น Green Day พร้อมกับได้ออกอัลบั้มแรก 1,039 Smoothed Out Slappy Hours กับค่าย Lookout และออกอัลบั้มที่ 2 Kerplunk ในปีถัดมา ซึ่งทำลายสถิติอัลบั้มที่มียอดขายสูงที่สุดของค่าย Lookout ทำให้ Green Day มีชื่อเสียงโด่งดังในหมู่ "Underground Punk scene" เป็นอย่างมาก
ด้วยความโด่งดังของ Green Day กับค่ายเล็กๆอย่าง Lookout ทำให้ชื่อเสียงของพวกเขาเลื่องลือไปถึงค่ายเทปใหญ่หลายแห่งซึ่งต่างก็พยายามมาติดต่อ Green Day ให้เซ็นสัญญาด้วยโดยหวังว่าจะได้วงนี้ไปเป็น "The next big thing" ของวงการเพลง แต่ Green Day ไม่เคยสนใจในชื่อเสียงเงินทองและความร่ำรวยจึงปฎิเสธสัญญาจากค่ายเพลงดังๆทั้งหลายครั้งแล้วครั้งเล่าพวกเขาทั้งสามคนคงความเป็นวงพังค์และยึดถือสโลแกน DIY : Doing It Yourself เรื่อยมา พวกเขาขายเทปแต่ละม้วนได้ด้วยลำแข้ง
ของพวกเขาเองและอาศัยคำพูดแนะนำจากแฟนเพลงปากต่อปากเท่านั้น พวกเขาเดินสายทัวร์ไปทั่วประเทศ ซึ่งก็ได้ช่วยเพิ่มยอดขายอัลบั้ม Kerplunk เป็นอีกหลายเท่าตัว จนกระทั่งวันหนึ่ง Rob แห่งค่าย Reprise Record ยักษ์ใหญ่แห่ง Warner ได้ทำการติดต่อ Green Day ไปโดยหวังว่าจะได้พวกเขามาร่วมงานด้วย Rob ไม่เหมือนใครคนอื่น ที่เคยติดต่อพวกเขา Rob สนใจในดนตรีอย่างจริงจังและหลงใหลในดนตรีแนวพังค์ตลอดจนแชร์รสนิยมทางดนตรีที่เหมือนกับพวกเขา ทำให้ Green Day ถึงกับใจอ่อนและยอม เซ็นสัญญาด้วยประกอบกับค่ายเล็กๆ อย่าง Lookout ไม่สามารถตอบสนองกระแสความดังของ Green Day ได้อีกต่อไป การตัดสินใจเซ็นสัญญากับค่ายใหญ่ในครั้งนี้ได้สร้างปัญหา มานับไม่ถ้วนให้แก่พวกเขา และถูกตราหน้าเป็นครั้งแรกว่า "ผู้ทรยศ" และ "Sellouts"
แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม พวกเขาไม่เคยภูมิใจกับผลงานในอัลบั้ม Insomniac เลย เพราะสิ่งที่พวกเขาทำงานคือการ "พิสูจน์" ตัวเองเพื่อให้คนอื่นยอมรับพวกเขาว่ายังคงเป็นวงพังค์เหมือนที่ พวกเขาเคยเป็นมาก่อน การทำเช่นนี้ทำให้กรีนเดย์ตกอยู่ในภาวะแห่งความสูญเสียความมั่นใจในตัวเอง พวกเขายกเลิกเดินสายทัวร์เกือบทั้งหมด เพราะพวกเขาไม่ต้องการ "เสแสร้ง" ทำในสิ่งที่เขาไม่ใช่และพวกเขาก็รู้ว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องพิสูจน์ตัวตนของพวกเขาให้กับคนอื่น หลังจากนั้นเป็นต้นมา กรีนเดย์ก็ไม่เคยสนใจคำวิจารณ์จากเหล่าแฟนเพลงหรือนักวิจารณ์ใดๆก็ตาม พวกเขาสร้างดนตรีเพื่อพวกเขาเองเท่านั้น เขาทำในสิ่งที่เขาอยากทำ และยึดมั่นในหลักการของตนเองโดยไม่สนใจกฎเกณฑ์ใดๆทั้งสิ้น ด้วยความเชื่อนี้ กรีนเดย์จึงออก
อัลบั้มถัดมาชื่อว่า Nimrod ซึ่งเป็นอัลบั้มแรกที่พวกเขาเริ่มทดลองซาวน์ใหม่ๆโดยไม่สนใจว่าทำแบบนี้จะ "พังค์" หรือ "ไม่พังค์" และพวกเขายังปล่อยซิงเกิ้ลขายดีตลอดกาลของพวกเขา "Good Riddance" ที่ช็อกวงการพังค์ร็อคเลยทีเดียว เพลงนี้เป็นบัลลาดเศร้าจับใจ เนื้อหาเพลงพูดถึงการตัดสินใจในชีวิตเมื่อมาถึงทางแยกของชีวิตแล้วเมื่อการตัดสินใจครั้งนั้นผ่านพ้นไปแล้วไม่ว่าจะดีหรือร้าย ผลของการตัดสินใจนั้นคือสิ่งที่ถูกต้องเสมอ บางครั้งคนเราไม่สามารถทำนายสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ แต่ท้ายที่สุดผลลัพธ์คือสิ่งที่คนๆนั้นต้องอยู่กับมัน ส่วนเรื่องในอดีตนั่นก็จะกลายเป็นแค่ช่วงเวลาเก่าๆที่ฝังลึกไว้เพียงแค่ความทรงจำเท่านั้น กรีนเดย์ปล่อยซิงเกิ้ล Good Riddance เพื่อกล่าวอำลาแฟนเพลงพังค์ในยุดแรกๆของพวกเขา ว่าเขาไม่สนใจอีกต่อไปว่าแฟนๆ เหล่านั้นจะหันหลังให้กลับกรีนเดย์หลังจากที่กรีนเดย์เซ็นสัญญากับค่ายใหญ่ เขาเขียนเพลงนี้ขึ้นมาเพื่อบอกลาแฟนๆในยุคนั้นเป็นนัยๆว่าเขาจะลืมอดีตทิ้งให้หมดและมันจะเป็นเพียงแค่ความทรงจำเท่านั้น ต่อไปนี้พวกเขาจะก้าวเดินต่อไปข้างหน้าและไม่สนใจและยึดติดกับคำว่า "พังค์" อีกต่อไป ...
ในปี 2000 กรีนเดย์ก็กลับมาอีกครั้งพร้อมกับอัลบั้มใหม่ Warning คราวนี้พวกเขาอยู่ในวัยเกือบ 30 และไม่ใช่เด็กๆที่ร้องเพลงเกี่ยวกับ Longview หรือ Basket Case อีกต่อไป ในอัลบั้มนี้พวกเขาทั้ง 3 โปรดิวซ์อัลบั้มด้วยตัวเองเป็นครั้งแรกหลังจากงจากอัลบั้ม 1039/ Smoothed Out Slappy Hours โดยปราศจาก Rob คู่ซี้ และเป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่กรีนเดย์ทดลองซาวน์ใหม่ โดยไม่คำนึงถึงอดีตและกฎเกณฑ์ของ "พังค์" พวกเขานำกีตาร์แบบอคูสติกมาใช้เป็นหลัก มีการใช้เครื่องดนตรีหลากหลายมากขึ้น จึงทำให้ซาวน์โดยรวมอ่อนลงกว่าเมื่อก่อนมาก อีกทั้งความหมายโดยรวมของอัลบั้มยังให้แง่คิดดีๆในแง่บวก ต่างจากอัลบั้มเก่าๆ มากทีเดียว แต่ถึงอย่างไรก็ตามกรีนเดย์ยังคงความเป็นกรีนเดย์ไว้ด้วยความหมายแบบประชดประชันเสียดสีสังคมอย่างเช่นในเพลง Warning, Minority หรือ Fashion Victim และเพลงทุกเพลงก็ยังคงติดหูผู้ฟังซึ่งเรียกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของกรีนเดย์เลยทีเดียว อัลบั้ม Warning ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากแฟนกลุ่มใหม่และเหล่านักวิจารณ์เพลง เพราะอัลบั้มนี้ได้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาทั้ง 3 คนได้โตขึ้นกว่าแต่ก่อนแล้ว และมีศักยภาพมากกว่าการทำเพลงพังค์ 3 นาทีซ้ำไปซ้ำมา อัลบั้มนี้ได้รับการตอบรับอย่างดีในแง่ของความคิดสร้างสรรค์และความพยายามของวง แต่ถึงอย่างนั้นอุปสรรคก็ยังถามหาพวกเขาไม่เลิกรา แฟนๆ ยุคเก่าถึงกับส่ายหน้าหนีกับอัลบั้มนี้ทันที พร้อมกับบอกว่าอัลบั้มนี้คืออัลบั้มที่แย่ที่สุดที่
พวกเขาเคยสร้าง และอัลบั้มนี้เองที่น่าจะเป็นจุดจบของวงกรีนเดย์เลยทีเดียว
แต่นั่นไม่ใช่จุดจบของกรีนเดย์อย่างแน่นอน พวกเขาไม่เคยสนใจว่าใครจะคิดยังไงเกี่ยวกับผลงานของพวกเขา เขาสร้างเพลงเพื่อความพึงพอใจของตนเอง ไม่ใช่เพื่อแฟนเพลง นักวิจารณ์ หรือคนอื่นใด
พวกเขากลับมาอีกครั้งในปี 2004 หลังจากออกอัลบั้มรวมฮิตและ B-sides ภายใต้ชื่ออัลบั้มใหม่เอี่ยมว่า American Idiot ซึ่งทำยอดขายได้เกินกว่า 5 ล้านตลับในระยะเวลาเพียงแค่ 3 เดือนเท่านั้น นับเป็นสถิติที่เหลือเชื่อเลยทีเดียว อัลบั้มนี้ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีทั้งจากแฟนกลุ่มเก่าๆและนักวิจารณ์ อีกทั้งยังสามารถเจาะตลาดกลุ่ม Pop Culture ได้อย่างเดินความคาดหมาย และยังได้รับรางวัล แกรมมี่สาขาอัลบั้มร็อคยอดเยี่ยมแห่งปีอีกด้วย พวกเขาเดินสายทัวร์โปรโมตอัลบั้มนี้ไปทั่วโลกและได้รับการตอบรับอย่างไม่น่าเชื่อ บัตรคอนเสิร์ตกว่า 75,000 ใบขายหมดในพริบตา ทัวร์แล้วทัวร์เล่าและพวกเขายังเป็นที่ต้องการในหลายๆประเทศอย่างต่อเนื่อง กระแสความดังของอัลบั้ม American Idiot ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดได้ง่ายๆ จนหลายคนกล่าวว่า ถ้าอัลบั้ม Nevermind ของ Nirvana
คืออัลบั้มที่มีอิทธิพลต่อวงการเพลงในช่วง 90 มันก็เป็นไปได้ว่า American Idiot ของ Green Day จะพลิกโฉมหน้าวงการเพลงร็อคในสหัสวรรษที่ 2000 เลยทีเดียว กระแสความแรงของ American Idiot กำลังมาแรงขึ้นเรื่อยๆ และกำลังจะแซงหน้าอดีตความดังของอัลบั้ม Dookie เมื่อ 11 ปีที่แล้วอย่างช้าๆ ทุกอย่างสำหรับกรีนเดย์ในยุคนี้ดูจะท่าไปได้สวยสำหรับพวกเขา แต่ปัญหาใหญ่ข้อหนึ่งที่แฟนๆกรีนเดย์ทุกคนเฝ้าถามตัวเองก็คือ แล้วหลังจากวันนี้ พวกเขาทั้ง 3 คนจะทำอย่างไรต่อไปในอนาคต หรือพวกเขาควรจะจบอาชีพของตัวเอง ณ ที่จุดสูงสุดตรง….
21st Century Break Down
ปี 2009 กรีนเดย์กลับมาสร้างปรากฎการณ์ทางดนตรีอีกครั้ง อัลบั้ม ชุดใหม่ในรอบ 5 ปี 21st Century Breakdown สุดยอดเพลงร็อคที่ดีที่สุดในปีนี้ 5 ดาวการันตี พร้อมนิยามแห่งปี “A fantastic amazing piece on the biggest record of the year!”, Q Magazine Green Day ใช้เวลาทำอัลบั้มชุดนี้ตั้งแต่ปี 2006 3 ปีแห่งการทำงานชุดใหม่ ที่เข้มข้นกว่า ดีกว่าครั้งไหน ถึงแม้ในปีที่แล้ว กรีนเดย์ ซุ่มทำไซด์โปรเจ็ค นั่นก็คือ Foxboro Hottub ส่งออกมาชิมลาง โดยที่ไม่บอกแฟนเพลงว่าเป็นพวกเขาเป็นไปได้ว่าหลังจากออกไซด์โปรเจ็ค แนวเพลงร็อค แอนด์ โรล จ๋า ก็เลยเกิดคันไม้คันมือ จับมือกันลุยสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 8
นักร้องนำ Billy เผยว่า 21st Century Breakdown คือการกลับไปสู่จุดเริ่มต้นเดิมของพวกเขา และมีแรงบันดาลใจจากศิลปินร็อครุ่นใหญ่ อย่าง Queen, The Beach Boys, The Beatles , Bruce Springsteen เป็นต้น อัลบั้มนี้พวกเขาได้ Butch Vig มือกลอง Garbage มาร่วมโปรดิวซ์ พิสูจน์อัลบั้ม 21st Century Breakdown พร้อมกัน 19 พฤษภานี้!!
Band Member
บิลลี่ โจ อาร์มสตรอง (Billie Joe Armstrong)
เกิดวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2515 รับหน้าที่เป็นนักร้องนำ นักแต่งเพลงหลัก และมือกีต้าร์ให้กับวง "กรีนเดย์”
บิลลี่ เป็นลูกคนสุดท้องจากบรรดาลูก 6 คนของครอบครัว เขามีภูมิลำเนาอยู่ที่เมืองโอ๊คแลนด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย บิดาของเขาเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในวันที่ 10 กันยายน 2525 ซึ่งตอนนั้น บิลลี่อายุเพียง 10 ขวบ เพลง “Wake Me Up When September Ends" แต่งขึ้นเพื่อเป็นการระลึกถึงบิดาที่จากไปของเขา
ความสนใจในดนตรีของอาร์มสตรองเริ่มขึ้นตั้งแต่เขายังเด็ก ตอนอายุเพียง 5 ขวบ ครูของเขาสนับสนุนให้เขาอัดเพลงชื่อว่า “Look For Love” ภายใต้สังกัด "เฟียต เร็คคอร์ด” หลังจากที่พ่อของเขาเสียชีวิต แม่ของเขาแต่งงานใหม่ ด้วยเหตุนี้เองทำให้อาร์มสตรองหันไปใช้ชีวิตอยู่กับดนตรีมากขึ้น เขาแต่งเพลง “Why Do You Want Him” ให้กับพ่อเลี้ยงของเขา ตอนอายุ 12 ปี เขาศึกษาอยู่ที่โรงเรียนคาร์กิเนซ มิดเดิ้ล สคูล ที่เมืองคร็อคเก็ตต์ รัฐแคลิฟอร์เนีย และที่นั่นเอง เขาได้รู้จักกับไมค์ เดิร์นท์ พวกเขาสนิทสนมกันอย่างรวดเร็วเนื่องด้วยความรักในดนตรีที่ทั้งคู่มีเหมือนกัน ตอนเป็นวัยรุ่น เขาสนใจในเพลงแนวเมทัล แล้วค่อยๆเปลี่ยนแนวมาเป็นพั้งค์หลังจากที่เขาได้ฟังเพลงของ Six Pistol ชื่อว่า “Holidays in the Sun” นอกจากนี้ อาร์มสตรองยังได้แรงบันดาลใจจากวง “เดอะ รีเพลสเม้นท์” และ “ฮัสเกอร์ ดู” จากเมืองมินนิอาโปลิส ต่อมาเขาเข้าศึกษาในระดับมัธยมปลายที่โรงเรียนจอห์น สเว็ตต์ ไฮสคูล ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองคร็อคเก็ตต์เช่นเดียวกัน แล้วย้ายมาอยู่ที่โรงเรียนพิโนลย์ วัลเล่ย์ ไฮสคูล ในเมืองพิโนลย์ รัฐแคลิฟอร์เนีย เขาตัดสินใจลาออกจากโรงเรียนในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2532 หนึ่งวันก่อนวันเกิดปีที่ 17 ของเขาเพื่อหันไปทุ่มเทกับอาชีพนักดนตรีของเขา
นอกจากเป็นสมาชิกวงกรีนเดย์ และวงรุ่นน้องอย่าง “พินเฮ้ด กันพาวเดอร์” แล้ว อาร์มสตรองยังเป็นผู้มีฝีมือที่ศิลปินมากมายอยากร่วมงานด้วย เขาเคยร่วมแต่งเพลงให้กับวง เดอะ โก โกส์ ที่ชื่อว่า “Unforgiven” และร่วมแต่งเพลง “The Angel and The Jern” และเพลง “New Day" กับเพเนโลเป้ ฮุสตัน นักร้องนำของอดีตวงร็อคชื่อดัง อเวนเจอร์ส นอกจากนั้นเขายังเคยร่วมแต่งเพลงกับวงแรนซิด (เพลง “Radio”) และรับหน้าที่เป็นเสียงประสานร่วมกับเมลิซซา โอฟ์ เดอร์ มาวเออร์ ให้กับเพลง “Do Miss America” ของไรอัน อดัมส์ (พวกเขาเคยรับหน้าที่เล่นดนตรีให้กับอิ๊กกี้ ป๊อบ ในอัลบั้ม สกัลล์ ริงก์ (เพลง”Private Hell” และเพลง “Supermarket”)) อาร์มสตรองเคยโปรดิวซ์อัลบั้มให้กับวงพั้งก์ร็อค “เดอะ ริเวอร์เดลส์” และมีข่าวลือมาว่าเขาทำงานให้กับวงร็อคคลื่นลูกใหม่ “เดอะ เน็ตเวิร์ค” ซึ่งปล่อยอัลบั้มที่มีชื่อว่า “มันนี่ มันนี่ 2020" ถ้าแฟนๆของกรีนเดย์ได้ลองฟังเพลงของพวกเขาก็จะรู้สึกว่าทั้งสองวงนี้มีความคล้ายคลึงกันอยู่มาก อัลบั้ม “มันนี่ มันนี่ 2020” อยู่ภายใต้สังกัดแอเดอลีน เร็คคอร์ดส์ ซึ่งมีอาร์มสตรองรับหน้าที่เป็นหนึ่งในผู้บริหาร นอกจากนั้น เขายังเคยร่วมงานกับวงระดับตำนานอย่าง ยูทู ในเพลง The Saints Are Coming และวงกรีนเดย์ยังเคยร่วมงานกับวงเร็ดฮ๊อต ชิลลี่ เปปเปอร์ ในมิวสิควิดีโอเพลง Dani California |