Muse

MUSE Live in Bangkok เฮเสียงดังแอบหวังอีกเยอะ

 

"ฮ้ะ...มิวส์จะมาไทย !" เป็นประเด็นหนึ่งที่ถูกพูดถึงในสังคมของคนฟังเพลงในช่วงก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะโดยปากต่อปาก เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ ไลน์ แชต และโซเชียลเน็ตเวิร์กต่าง ๆ ถ้ามีคำถามว่าทำไมฮือฮากันขนาดนั้น ? คำตอบก็คือ จะไม่ฮือฮาได้ยังไง เมื่อศิลปินระดับนี้จะมาประเทศไทย มิวส์ (Muse) เป็นวงดนตรีชื่อดังมาก แต่ไม่ใช่ดังในแบบแมส ๆ ที่เราจะคาดหวังการมาของพวกเขาได้ง่าย ๆ การมาครั้งนี้จึงมีความหมายมาก โดยเฉพาะกับคนที่รอคอยมานานและเคยเสียใจมาแล้วครั้งหนึ่ง

 

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2007 หลังจากที่ออกอัลบั้ม Black Holes and Revelations ผลงานชุดที่ 4 ของวง พวกเขาเคยจะมาแสดงคอนเสิร์ตครั้งแรกในเมืองไทย แต่ด้วยสถานการณ์บางอย่างในประเทศของเรา ณ ขณะนั้น ทำให้วงต้องประกาศยกเลิกการแสดงก่อนจะถึงวันกำหนดการแสดงประมาณ 1 สัปดาห์ การยกเลิกคอนเสิร์ตครั้งนั้นทำให้แฟนเพลงที่เตรียมตัวจะดูคอนเสิร์ตเสียใจ และยังคงรอคอยต่อมาเรื่อย ๆ ว่าวันหนึ่งพวกเขาคงจะมา 

ปีนี้ "Muse Live in Bangkok 2015" คอนเสิร์ตในเมืองไทยครั้งแรก (จริง ๆ) ของมิวส์กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 23 กันยายน ณ อิมแพ็คอารีน่า เมืองทองธานี ซึ่งผู้ที่ทำให้ความหวังของแฟนเพลงมิวส์เป็นความจริงก็คือ "บีอีซี-เทโร ไลฟ์ เนชั่น"

 

 

ผ่านมา 8 ปีนับตั้งแต่เกือบจะมีคอนเสิร์ตครั้งแรกของมิวส์ในเมืองไทย เป็น 8 ปีที่จะว่านานก็นาน แต่ก็น่าจะคุ้มค่าสำหรับแฟน ๆ เพราะเวลาที่ผ่านมาไม่ใช่ผ่านไปเปล่า ๆ แบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น ใน 8 ปีนั้นมิวส์ออกผลงานใหม่ 3 ชุด พัฒนาฝีไม้ลายมือ สั่งสมประสบการณ์ทั้งในแง่การทำเพลง การแสดงสด สั่งสมชื่อเสียง เก็บกวาดรางวัลจากเวทีต่าง ๆ มากมาย และสร้างแฟนเพลงใหม่ ๆขึ้นในทั่วโลกการจะมาเมืองไทยครั้งนี้จึงยิ่งใหญ่กว่าครั้งที่แล้วมาก ทั้งในแง่ชื่อเสียงของวงที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมาก และสเกลงานที่ต้องใหญ่ขึ้นตาม

มิวส์เป็นวงดนตรี 3 ชีวิตจากเกาะอังกฤษ ประกอบด้วย แมตทิว เบลลามี (กีตาร์-ร้องนำ), คริส โวลส์เทนโฮล์ม (เบส) และ ดอมินิก ฮาวเวิร์ด (กลอง-เพอร์คัสชั่น-ซินทิไซเซอร์) พวกเขาก่อตั้งวงตั้งแต่ปี 1994 และปล่อยผลงานอัลบั้มเต็มชุดแรกชื่อ "Showbiz" ในปี 1999 

จุดเด่นของมิวส์คือไอเดียความครีเอต เพลงของพวกเขามีความยูนีคมาก หาศิลปินที่มีดนตรีใกล้เคียงกับพวกเขายาก ถึงแม้ว่าผลงานชุดแรกของวงจะเบา ๆ ลอย ๆ คล้ายกับเรดิโอเฮด (Radiohead) วงรุ่นพี่ชาวอังกฤษอยู่บ้าง แต่ก็เพียงชุดแรกเท่านั้น พอชุดที่สองพวกเขาก็เพิ่มความหนักเข้มในแบบร็อกมากขึ้น

 



ดนตรีร็อกของพวกเขามีอิทธิพลของดนตรีคลาสสิกและอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาเยอะ มีทั้งความเข้มขึงขัง อ่อนหวาน ล่องลอย จี๊ดจ๊าด มีการเพิ่มเสียงเปียโน ผสมผสานออร์เคสตร้า แต่งแต้มสีสันอย่างไร้ขอบเขต เป็นส่วนผสมทางดนตรีที่จำแนกและหาคำจำกัดความยาก แม้แต่สมาชิกวงเองก็ยังต้องออกปากว่าบางเพลงของตัวเอง กลายเป็นความยากและสร้างความปวดหัวในการแสดงสด ส่วนเนื้อหาทุกอัลบั้มมีคอนเซ็ปต์ชัดเจนว่าจะพูดเรื่องอะไร 

ในด้านการแสดงสดมิวส์ก็เป็นวงที่ร่ำลือกันว่าเป็นวงที่แสดงสดได้สุดมัน เฉียบขาด และตระการตามาก ๆ พิสูจน์จากการแสดงบนเวทีเทศกาลดนตรีระดับนานาชาติมาแล้วมากมาย และเป็นเฮดไลน์ในเทศกาลดนตรี กลาสตันบิวรี่ (Glastonbury) เทศกาลดนตรีชื่อดังที่สุดในโลกมาแล้วถึงสองครั้ง คือปี 2004 และ 2010 และเป็นศิลปินรายแรกที่ได้เปิดการแสดงในเวมบลีย์สเตเดี้ยม (Wembley Stadium) ด้วย 

เมื่อปี 2012 พวกเขาได้รับเลือกให้แสดงในพิธีปิดกีฬาโอลิมปิก 2012 ที่ลอนดอน และยังได้รับเกียรติอีกขั้นให้ทำเพลงธีมของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกครั้งนั้น ซึ่งก็คือเพลง "Survival" ที่อยู่ในผลงานอัลบั้มชุดที่ 6 ของพวกเขาด้วย นั่นคือการการันตีว่าพวกเขาคือเบอร์ 1 ของเกาะอังกฤษในยุคนี้ จากผลงานและการแสดงสดครั้งนั้น ทำให้วงดนตรีวงนี้ได้ผ่านหูผ่านตาผู้คนทั่วโลก และเป็นที่รู้จักในวงกว้างขึ้น จากเดิมที่เป็นวงดนตรีฝีมือดีและชื่อเสียงร่ำลือในหมู่คนฟังเพลงทั่วโลกอยู่แล้ว วัดจากเสียงเรียกร้องที่มีให้ได้ยินตลอด สะท้อนว่าวงดนตรีวงนี้คือวงอันดับต้น ๆ ที่คอเพลงชาวไทยอยากดู คอนเสิร์ตที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้จึงถือว่าถูกเวลามาก ๆ น่าจะเป็นคอนเสิร์ตที่ยิ่งใหญ่แห่งปีและถูกพูดถึงไปอีกนาน 

 

การมาของมิวส์ในครั้งนี้นอกจากจะมีความหมายมากต่อคนที่อยากดูมิวส์แล้ว ยังเป็นนิมิตหมายอันดีว่าคนที่อยู่ในเมืองไทยมีโอกาสในการเสพดนตรีดี ๆ เพิ่มขึ้น แล้วคอดนตรีในเมืองไทยมีหวังมากขึ้นกับศิลปินที่ตัวเองอยากดู เพราะถ้าวงระดับมิวส์ยังมาเมืองไทยได้ ก็น่าจะพอลุ้นศิลปินอื่น ๆ ได้เช่นกัน

 

ขอบคุณประชาชาติธุรกิจ

(www.prachachat.net)